วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
บรมครูขงจื่อ
มีคำกล่าวว่า :
"หากฟ้ามิให้กำเนิดขงจื่อ โลกคงเป็นรัตติกาลอันมืดมิด"
ก็ด้วยเกิดมีขงจื่อบรมครูจอมปราชญ์ ประวัติศาสตร์ห้าพันปีของประเทศจีน จึงได้มีประภาคารอันเจิดจรัสฉายส่องความมืดสลัวของอดีตกาลให้กระจ่างชัด อีกทั้งส่องทางอนาคตแห่งสัจธรรมให้เห็นจุดหมายปลายทางได้
ท่านบรมครูขงจื่อ นามว่าชิว นามรองจ้งหนี เป็นชาวหมู่บ้านชังผิง เมืองหลู่ ในสมัยชุนชิว อุบัติมาเมื่อก่อนคริสตศักราชห้าร้อยห้าสิบเอ็ดปี
ความยิ่งใหญ่ของท่านคือ สามารถสืบต่อมรดกวัฒนธรรมสองพันห้าร้อยกว่าปี ก่อนหน้าที่ท่านจะอุบัติมา พร้อมกับเบิกทางวัฒนธรรมต่อไปอีกกว่าสองพันห้าร้อยปีหลังจากท่านมาจนถึงทุกวันนี้
ท่านจึงเป็นประภาคารที่ส่องสว่างอยู่ระหว่างอดีตกาลกับอนาคตกาล
ท่านบรมครูขงจื่อได้เผยแผ่ปรัชญาแห่งอริยเจ้าตั้งแต่ครั้งโบราณมา สืบสานพงศาธรรมไว้ให้ต่อเนื่องเป็นหนึ่งเดียวกัน
เมื่อท่านอายุได้สามปี บิดานามว่าข่งเหลียงเหอ ละจากโลกไป มารดาเอี๋ยนเจิงไจ้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ท่านขงจื่อฉลาด รู้ความเกินอายุ ชอบเลียนแบบการกราบไหว้เทพยดาฟ้าดิน กราบไหว้บรรพบุรุษอย่างผู้ใหญ่ อายุได้สิบห้าปีก็มุ่งใจใฝ่ศึกษาธรรมกับอักษรศาสตร์เต็มกำลัง สิ่งที่ทำให้ใคร่ศึกษาที่สุดอย่างหนึ่งของท่านคือ จริยพิธีของราชวงศ์โจว
ท่านเคยรับตำแหน่งผู้ช่วยงานพิธีการใหญ่ ท่านสนใจแม้แต่สิ่งเล็กน้อย คอยถามไถ่ผู้รู้อยู่เสมอ จนถ่องแท้แน่ชัดต่อสิ่งที่เรียนรู้นั้น
ท่านบรมครูจัดตั้งโรงเรียนส่วนบุคคลขึ้นเป็นแห่งแรก รับสอนโดยไม่จำกัดฐานะ
เพื่อการสัมฤทธิ์ผลในอุดมคติกอบกู้ชาวโลก ท่านจึงนำคณะศิษย์จาริกไปยังบ้านเมืองต่าง ๆ อบรมกล่อมเกลาตั้งแต่เจ้าเมืองจนถึงประชาราษฎร์ให้ใช้จิตอย่างผู้มีคุณธรรม มีกรุณามโนธรรมจิตสำนึก
เริ่มแรก ท่านมาถึงเมืองฉี ขุนนางใหญ่นามว่าเกาเจาจื่อ นำเข้าพบฉีจิ่งกงฮ่องเต้ ท่านบรมครูขงจื่อแสดงธรรมทันทีว่า
"จอมราชต้องเป็นจอมราช ขุนนางต้องเป็นขุนนาง พ่อต้องเป็นพ่อ ลูกต้องเป็นลูก
จวินจวิน เฉินเฉิน ฟู่ฟู่ จื๋อจื่อ"
ให้ต่างทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง หากรักษาตนทำตามหน้าที่ได้ดี สังคมจะมีแต่ความสงบสุข บ้านเมืองจะมั่นคง
เสียดายที่ฉีจิ่งกงฮ่องเต้ได้แต่ชื่นชม แต่ไม่รู้จักใช้คนดีมีฝีมือ ท่านบรมครูขงจื่อจึงได้แต่ผิดหวังกลับมายังเมืองหลู่ของท่าน ได้รับการเลื่อนตำแหน่งทางราชการอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นท่านอายุใกล้ห้าสิบปีแล้ว
ปีที่ท่านอายุได้ห้าสิบเอ็ดปี ด้วยความใฝ่ศึกษาทั้งทางจริยพิธีและวิถีธรรม ท่านจึงอุตส่าห์เดินทางไกลพันลี้ไปยังเมืองโจว เพื่อขอคำแนะนำสั่งสอนจากท่านหลี่เอ่อ (อริยปราชญ์เหลาจื่อ)
ในเวลานั้น ในสายตาของท่านผู้เฒ่าเหลาจื่อศีรษะขาวโพลนมองดูขงจื่อ ขงจื่อยังเป็นเพียงคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงเท่านั้น เมื่อถ่ายทอดธรรมะวิถีแห่งจิตให้แล้ว จึงแสดงธรรมย้ำสอนอีก จนทำให้ขงจื่อผู้ปราดเปรื่องเรืองปัญญา รอบรู้ในปรัชญา จริยธรรมถึงกับน้อมเคารพสุดกายสุดใจ
เมื่อกลับไปถึงบ้าน ท่านชื่นชมอาจารย์เหลาจื่อ โดยอุปมาให้แก่ศิษย์ฟังว่า
"นกนั้น เรารู้ว่ามันบินได้เก่ง
ปลานั้น เรารู้ว่ามันว่ายน้ำได้เก่ง
สัตว์นั้น เรารู้ว่ามันเดินได้เก่ง
เดินเก่งยังอาจใช้ตาข่ายดักจับ
ว่ายน้ำเก่งยังอาจใช้แหดักจับ
บินเก่งยังอาจใช้ธนูยิง
แต่สำหรับมังกรนั้น เราไม่อาจรู้ได้เลย เพราะมังกรอาจทะยานเมฆเหินลมสู่ฟ้าลิบลับ
พระวิสุทธิอาจารย์เหลาจื่อที่เราได้ไปเคารพนั้น ก็คือมังกร มองเห็นส่วนหัวแต่มิอาจเห็นส่วนท้ายได้เลย"
คำอุทานชื่นชมของท่านบรมครูขงจื่อครั้งนี้ ก็คือประโยคที่ว่า "วัยห้าสิบจึงรู้ชีวิตจากฟ้า" ที่จารึกใน "หลุนอวี่ คัมภีร์ธรรมะพิจารณ์" นั่นเอง และก็เป็นต้นกำเนิดของประโยคที่ปีติในธรรมว่า
"เช้าได้รับวิถีธรรม เย็นตายไม่ห่วงเลย" นั่้นเอง
ชั่วชีวิตในการแพร่ธรรมของท่านบรมครูขงจื่อต้องประสบกับมารทดสอบเคี่ยวกรำมากมายที่หนักหนามากมีสามครั้งคือ
ขณะที่ท่านเดินทางผ่านแคว้น "ควง" ด้วยเหตุที่ท่านบรมครูมีเค้าหน้าละม้ายกับ "หยังหู่" ขุนนางอิทธิพลที่ชาวแคว้น "ควง" มุ่งหมายจะเอาชีวิตอยู่แล้ว ฉะนั้น แม้ท่านบรมครูจะชี้แจงอย่างไร เขาเหล่านั้นก็ไม่เชื่อ จนเกือบจะต้องเสียชีวิตไปในครั้งนั้น โชคดีที่ศิษย์จื่อลู่ กับเอี๋ยนหุย ของท่านหาทางช่วยออกมาได้
เมื่อได้พบหน้ากัน ท่านบรมครูตื้นตันใจเรียกศิษย์เอี๋ยนหุยและกล่าวว่า "นึกว่าเจ้าถูกฆ่าเสียแล้ว" เอี๋ยนหุยน้ำตาคลอตอบว่า "อาจารย์ท่านยังอยู่ ศิษย์ยังมิได้ปฏิการะ จะกล้าตายง่าย ๆ ได้อย่างไร"
คำโต้ตอบระหว่างอาจารย์ศิษย์ประโยคนี้ ทำให้เห็น "ข้อแกร่งแรงมุ่ง" ในการแพร่ธรรมะที่ไม่ระย่อยั่นแม้ความตาย และสายสัมพันธ์ของศิษย์อาจารย์ที่มีมหาปณิธานร่วมกันอย่างแน่นแฟ้นดังนี้
ครั้งที่สอง ขณะที่ท่านบรมครูแสดงธรรมอยู่ที่ธรรมศาลาใต้ต้นไม้ใหญ่ในเมืองซ่ง ขุนนางกังฉิน "ซือหม่าหวนถุย" เกรงว่าธรรมะจะขัดขวางการดำเนินงานทุจริตของตน จึงตั้งใจทำลายล้างต้นตอความสุจริตเสีย โชคดีที่ศิษย์ของท่านบรมครูรู้แผนชั่วร้ายนั้น จึงพากันหนีรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
ขุนนางกังฉินโกรธแค้นมาก รื้อธรรมศาลา ตัดต้นไม้ใหญ่นั้น สั่งให้ลบรอยเท้าที่คณะแพร่ธรรมของท่านบรมครูขงจื่อเดินผ่านไปให้หมด แสดงความลบหลูอริยปราชญ์อย่างถึงที่สุดทีเดียว
ครั้งที่สาม เมื่อท่านบรมครูแพร่ธรรมอยู่ในเมืองเฉิน ได้ระยะหนึ่งแล้ว มีความคิดถึงบ้านเมืองจึงออกจากเมืองเฉิน ขณะมาถึงชายแดน จะเขาเขตเมืองไช่ เป็นจังหวะพอดีกับที่เจ้าเมืองอู๋ (อู๋หวังฟูชา) ยกทัพมารุกรานเมืองเฉิน
ท่ามกลางความโกลาหลนั่นเอง บ้านเมืองก็ถูกปิดล้อม คณะของท่านบรมครูต้องพลอยติดร่างแหไปด้วย ต้องอดอาหารนานถึงเจ็ดวัน จนเจ็บป่วยหมดแรงไปทั้งคณะ ศิษย์จื่อลู่คับแค้นใจกล่าวว่า "กัลยาณชนผู้ศึกษาปฏิบัติธรรม ยังจะต้องได้รับชะตากรรมถูกมารทดสอบติด ๆ กันอย่างนี้ด้วยหรือ"
ท่านบรมครูให้กำลังใจแก่ศิษย์ว่า "ที่ต้องได้รับ ก็เพราะผู้ศึกษาธรรมเมื่อเข้าตาจน จึงจะแสดงให้เห็นการสำรวมรักษาตนได้ดี หากเป็นคนจิตหยาบเมื่อประสบชะตากรรมก็จะเริ่มทำตามความพอใจอย่างผิด ๆ และเสียหายได้ทุกอย่าง"
ท่านบรมครูต้องสูญเสียบุตรชายคนเดียวเมื่อวัยหกสิบเก้าสูญเสียเอี๋ยนหุยศิษย์เอกเมื่อวัยเจ็ดสิบเอ็ด ต้องสูญเสียศิษย์จื่อลู่ที่เคียงข้างมานานเมื่อวัยเจ็ดสิบสอง ความสะเทือนใจหนัก ๆ ถึงสามครั้งในวัยชรา ทำให้ท่านบรมครูล้มป่วย
ก่อนคริสตศักราชสี่ร้อยเจ็ดสิบเก้าปี ด้วยวัยของผู้สูงอายุเจ็ดสิบสามปี ท่านบรมครูสู้อุตส่าห์เดินทางไปดูซากศาลาใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เคยแพร่ธรรมด้วยความทุ่มเทตลอดมาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วท่านก็ละสังขาร ลาจากทุกคนไป
สรีระร่างของท่านบรมครู ศิษย์ช่วยกันฝังไว้ที่ชายน้ำซื่อสุ่ย ด้านเหนือเมืองหลู่ ศิษย์ทุกคนพร้อมใจกันไว้ทุกข์ให้บรมครูสามปีด้วยความเคารพเสมอด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เสมอด้วยบิดาตน
ครบกำหนดไว้ทุกข์ เฝ้าสุสานกันอยู่สามปีแล้ว ศิษย์ทุกคนเก็บสัมภาระเตรียมเดินทางกลับบ้านเมืองตน ทุกคนกราบคารวะสุสาน โค้งคารวะอำลาจื่อก้ง ศิษย์ผู้พี่แล้ว ทันทีต่างก็น้ำตาพร่างพรูสะอื้นไห้ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้พบกันอีก วันเวลาที่เคยอยู่ร่วมกันเมื่อครั้งท่านบรมครูยังอยู่ได้จบสิ้นเสียแล้ว
เมื่อศิษย์น้องเดินจากไป จื่อก้งวางสัมภาระลงดังเดิม กลับเข้าไปนั่งในเพิง ขออยู่เป็นเพื่อนท่านบรมครูอีกสามปี แล้วจึงกราบอำลาจากไปด้วยความอาลัยรัก
ศิษย์หลายพันคนของท่านบรมครู สำนึกพระคุณท่านอยู่ไม่คลาย แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีก็ไม่ลืมเลือนได้ จึงต่างมาตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ ๆ สุสานของท่านบรมครู จนมหาปริมณฑลนั้นกลายเป็นชุมชนใหญ่ได้ชื่อว่า "ขงหลี่ ชุมชนขงจื่อ"
ตลอดชีวิตของท่านบรมครูเป็นแต่ผู้ให้
ให้การอบรมกล่อมเกลาโดยไม่จำกัดฐานะยากจนต่ำต้อย
ให้การอบรมตามจริตวิสัยของแต่ละคน
ศิษย์ของท่านมีสามพันกว่าคน ศิษย์เอกมีเจ็ดสิบสองคน
"ข้อแกร่งแรงมุ่ง" ของท่านบรมครูยิ่งใหญ่สูงส่งเกินกว่าจะหยิบยกได้ทั้งหมด ท่านกล่าวว่า
"กัลยาณชนกินมิหวังเพื่ออิ่ม อยู่มิหวังเพื่อสบาย
กัลยาณชนให้ความสำคัญต่อมโนธรรมสำนึก
คนจิตหยาบให้ความสำคัญต่อผลประโยชน์ถ่ายเดียว
ร่ำรวยสูงศักดิ์จากการขาดมโนธรรมสำนึกนั้นบางเบาดังเมฆสำหรับเรา
ผู้มีจิตมุ่งมั่น ผู้มีจิตการุณธรรม ไม่หวังอยู่รอดจากการผิดต่อการุณย์ธรรม มีแต่ยอมตายเพื่อบรรลุต่อการุณย์ธรรม"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)